โครงการพระราชดำริ ธนาคารโค-กระบือ
"...ธนาคารโคและกระบือ ก็คือ
การรวบรวมโคและกระบือ โดยมีบัญชีควบคุม ดูแลรักษา แจกจ่ายให้ยืม
เพื่อใช้ประโยชน์ในการเกษตร และเพิ่มปริมาณโคและกระบือ ตามหลักการของธนาคารโคและกระบือเป็นเรื่องใหม่ ของโลกที่มีความจำเป็นเกิดขึ้น
เพราะปัจจุบันมีความคิดแต่จะใช้เครื่องกลไก เป็นเครื่องทุ่นแรงในกิจการเกษตร
แต่เมื่อราคาน้ำมันเชื้อเพลิงแพงขึ้น ความก้าวหน้าในการใช้เครื่องกลไกเสียไป
จำเป็นต้องหันมาพึ่งแรงงานจากสัตว์ ที่เคยใช้อยู่ก่อน
เมื่อหันกลับมาเป็นปรากฎว่ามีปัญหามาก เพราะชาวนาไม่มีเงินซื้อโค
กระบือมาเลี้ยงเพื่อใช้แรงงาน..." (พระบรมราโชวาท พระราชทานแก่สมาชิกกลุ่มเกษตรกรทั่วประเทศ ณ
บริเวณโครงการส่วนประองค์สวนจิตรลดา ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๒๓)
โค-กระบือ
มีความสัมพันธ์กับวิถีชีวิตการผลิตของสังคมไทยมาแต่โบราณ
ถือได้ว่าเป็นปัจจัยการผลิตที่สำคัญมาก เพราะเป็นแรงงานอย่างเดียว
ซึ่งทำหน้าที่แทนเครื่องจักรกลช่วยให้แรงงานในกระบวนการผลิตข้าวเกือบทุกขั้นตอน
ตั้งแต่ไถพรวน นวดข้าว จนกระทั่งถึงการขนย้ายผลผลิต ในบางท้องที่ยังใช้แรงงานจากโค-กระบือ ฉุดลากเครื่องทุ่นแรงในการสูบน้ำและใช้ลากเกวียน
เพื่อการขนส่งในชนบททุรกันดารอีกด้วย เราเพิ่งตระหนักว่า โค-กระบือ
มีจำนวนไม่เพียงพอกับความต้องการของเกษตรกรในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ที่ผ่านมานี้เอง
ประมาณว่า มีความต้องการโค-กระบือ เพื่อใช้งานปีละ ๖-๘
ล้านตัว แต่ในปัจจุบันนั้น ทั่วประเทศมีการเลี้ยงโค-กระบือ
เพื่องานดังกล่าวเพียง ๕ ล้านตัวเท่านั้น
ซึ่งเป็นผลโดยตรงจากความก้าวหน้าและการขยายตัวของเทคโนโลยี
ทำให้เกษตรกรหันมาใช้เครื่องจักร และเครื่องมือทุ่นแรงนานาชนิด ทดแทนการใช้แรงงานแบบดั้งเดิม
วิถีการผลิตแบบใหม่เช่นนี้ประสิทธิภาพและให้ผลผลิตสูง
แต่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีระดับต่าง ๆ
ต้องใช้พลังงานและจำเป็นต้องใช้เงินทุนจำนวนมากด้วย
ดังนั้นสำหรับเกษตรกรที่มีฐานะยากจน มีพื้นที่ทำกินขนาดเล็ก
จะไม่สามารถดำเนินวิถีการผลิตเช่นนี้ได้
ในขณะเดียวกันก็พลอยได้รับผลกระทบจากแนวโน้นการเปลี่ยนที่เกิดขึ้น ไปด้วย เพราะโค-กระบือ
ซึ่งเป็นปัจจัยการผลิตที่สำคัญของวิถีการผลิตแบบดั้งเดิม
กลายเป็นสิ่งหายากและมีราคาสูง จากการศึกษาของธนาคารโลกพบว่า
ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีเกษตรกรร้อยละ ๒๐ ที่ไม่มีโค-กระบือเป็นของตนเอง
ต้องเช่าโค-กระบือเสียค่าเช่าในอัตราสูงคิดเป็นข้าวเปลือก
๕๐-๑๐๐ ถังต่อปี บางครั้งผลผลิตที่ได้ ก็ไม่เพียงพอที่จะชำระค่าเช่า
ทำให้เกษตรกรเกิดภาระหนี้สิน
ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของความยากจนและความเดือนร้อนในการดำรงชีวิต
แนวพระราชดำริ เกี่ยวกับโครงการธนาคารโค-กระบือ
ปัจจุบัน ธนาคารโค-กระบือ เป็นที่รู้จักกันกว้างขวางขึ้น
ว่าเป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ที่จะช่วยเหลือเกษตรกรยากจนที่ไม่มีโค-กระบือ เป็นของตนเอง โดยการแบ่งเบาภาระค่าเช่า
หรือดำเนินการเพื่อให้เกษตรกรมีโอกาสได้เป็นเจ้าของโค-กระบือเพื่อใช้แรงงานต่อไป
คนทั่วไปมักจะนึกว่า ธนาคารเป็นเรื่องที่ต้องเกี่ยวข้องกับกกระแสเงินตรา
แต่สำหรับธนาคารโค-กระบือ
นี้ ขออัญเชิญพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ซึ่งพระราชทานแก่สมาชิกกลุ่มเกษตรกรทั่วประเทศ เมื่อวันที่ ๑๔ พฤษภาคม พ.ศ.
๒๕๒๓ อันเป็นที่มาของคำว่า "ธนาคารโค-กระบือ"ดังต่อไปนี้
"ธนาคาร โค และ กระบือ ก็ คือ กา รวบ รวม โค และ กระบือ โดย มี บัญชี ควบ คุม ดู แล รักษา แจก จ่าย ให้ ยืม เพื่อ ใช้ ประ โยชน์ ใน การ เกษตร และ เพิ่ม ปริมาณ โค และ กระบือ ตาม หลัก การ ของ ธนาคาร ธนาคาร โค และ กระบือ เป็น เรื่อง ใหม่ ของ โลก ที่ มี ความ เป็น เกิด ขึ้น เพราะ ปัจจุบัน มี ความ คิด แต่ จะ ใช้เครื่องกล ไก เป็นเครื่องทุน แรง ใน กิจ การ เกษตร แต่ เมื่อ ราคา น้ำ มัน เชื้อ เพลิง แพง ขึ้น ความ ก้าว หน้า ใน การ ใช้เครื่องกล ไก เสีย ไป จำ เป็น ต้อง หัน มา พึ่ง แรง งาน จาก สัตว์ ที่ เคย ใช้ อยู่ ก่อน เมื่อ หัน กลับ มา ก็ ปรากฎ ว่า มี ปัญหา มาก เพราะ ชาว นา ไม่ มี เงิน ซื้อ โค และ กระบือ มา เลี้ยง เพื่อ ใช้ แรง งาน ธนาคาร โค และ กระบือ พอ จะ อนุโลม ใช้ ได้ เหมือน ธนาคาร ที่ ดำ เนิน การ เกี่ยวกับการ เงิน เพราะ โดย ความ หมาย ทั่ว ไป ธนาคาร ก็ ดำ เนิน กิจ การ เกี่ยวกับสิ่ง ที ค่า มี ประ โยชน์ การ ตั้ง ธนาคาร โค และ กระบือ ก็ มิ ใช่ ว่า ตั้ง โรง ขึ้น มา เก็บ โค และ กระบือ เพียง แต่ มี ศูนย์ กลาง ขึ้น มา เช่น อาจ จัด ให้ กรม ปศุ สัตว์ เป็น ศูนย์ รวม "
รัฐบาลโดยกรมปศุสัตว์
ได้เริ่มดำเนินการตามโครงการธนาคารโค-กระบือตามพระราชดำริ มาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๒ เมื่อเริ่มดำเนินการได้ใช้กระบือของกรมปศุสัตว์จำนวน ๒๘๐ ตัว
ไปช่วยเหลือเกษตรกรผู้ยากจนในพื้นที่ราบเชิงเขา จังหวัดปราจีนบุรี
โดยการให้เช่าซื้อและผ่อนส่งใช้คืนในระยะเวลา ๓ ปี หลังจากนั้นได้มีผู้ร่วมบริจาคสมทบโครงการอีกจำนวนมาก
โครงการจึงขยายไปดำเนินงานในพื้นที่ต่าง ๆ อย่างแพร่หลายในปัจจุบัน
ปัจจุบัน ธนาคารโค-กระบือ ตามพระราชดำริ
มีวิธีการให้บริการแก่เกษตรกรในลักษณะต่าง ๆ ดังนี้คือ
๑. การให้เช่าซื้อผ่อนส่งระยะเวลายาว เกษตรกรที่ยากจนที่ใคร่จะได้มีโอกาสเป็นเจ้าของโค-กระบือของตนเอง ทางธนาคารฯ จะจัดหาโค-กระบือ
มาจำหน่ายให้ในราคาถูก โดยเกษตรกรจะต้องผ่อนส่งใช่เงินคืนให้แก่ธนาคารฯ
โดยการผ่อนส่งในระยะเวลา 3 ปี
ซึ่งผู้ซื้อจะต้องให้ผู้ใหญ่บ้านหรือกำนันหรือผู้อื่นที่เชื่อถือได้ เป็นผู้ค้ำประกันการผ่อนชำระดังกล่าว
๒. การให้เช่าเพื่อใช้งาน
เกษตรกรที่ไม่มีโค-กระบือ ใช้งานของตนเอง
อาจจะติดต่อขอเช่าโค-กระบือ จากธนาคารฯ
ไปใช้งานได้โดยทางธนาคารฯ จะพิจารณาให้เช่าในราคาถูก
แต่ผู้เช่าจะต้องมีผู้ใหญ่บ้านหรือกำนัน หรือผู้อื่นที่เชื่อถือได้เป็นผู้ค้ำประกันไว้กับธนาคารโค-กระบือ นี้
๓. การให้ยืมเพื่อทำการผลิตพันธุ์
เกษตรกรที่ยากจน หากต้องการจะยืมโค-กระบือ เพศเมีย จากธนาคารฯ
ไปใช้เลี้ยงเพื่อผลิตลูกโค-กระบือ ก็อาจติดต่อขอยืมโค-กระบือจากธนาคารฯ ได้โดยผู้ยืมจะต้องแบ่งลูกโค-กระบือ
ที่คลอดออกมาคนละครึ่งกับธนาคารฯ โดยลูกตัวที่ ๑, ๓, ๕ ฯลฯ จะเป็นของธนาคารฯ ส่วนลูกตัวที่ ๒, ๔, ๖ ฯลฯ จะเป็นของเกษตรกร ทั้งนี้ ผู้ยืมจะต้องให้ผู้ใหญ่บ้านหรือกำนัน
หรือผู้ที่เชื่อถือได้ค้ำประกันไว้กับธนาคาร
๔. การยืมใช้งาน เกษตรกรหรือทหารผ่านศึกที่ยากจน
ไม่สามารถจะช่วยตนเองได้จริง ๆ อาจติดต่อขอรับความช่วยเหลือขอยืมโค-กระบือ ไปใช้งานได้ โดยธนาคารฯ จะได้จัดเจ้าหน้าที่ไปพิจารณา
ให้ความช่วยเหลือเป็นกรณีพิเศษเป็นราย ๆ ไป
การจัดตั้งธนาคารโค-กระบือ
แต่ละแห่งจะเริ่มต้นด้วยสมาชิกอย่างต่ำสุด ๑๐ ราย ซึ่งเป็นเกษตรกรยากจน
อยู่ในพื้นที่ที่มีความเดือดร้อนในการหาโค-กระบือเพื่อมาใช้งาน
คณะกรรมการหมู่บ้านจะเป็นผู้คัดเลือกผู้ที่มีฐานะยากจน มีความประพฤติดี
ขยันหมั่นเพียรและไม่มีโค-กระบือของตนเอง จัดเรียงลำดับไว้
ธนาคารฯ จะจัดสรรโค-กระบือให้แก่ราษฎรในหมู่บ้านที่ได้รับการคัดเลือกไว้แล้วตามจำนวนโค-กระบือ ที่ธนาคารฯ มีอยู่ ซึ่งได้รับบริจาคจากประชาชนทั่วไป
หรือจากงบประมาณของรัฐ ผู้ที่ยังไม่ได้รับโค-กระบือจากธนาคารฯ
ในครั้งแรก ก็จะมีโอกาสได้รับในคราวต่อไป เมื่อธนาคารฯ มีโค-กระบือเพิ่มขึ้น
ธนาคารโค-กระบือในหมู่บ้านที่มีการบริหารและการจัดการโครงการที่ดี
ก็จะเกิดผลประโยชน์เพิ่มพูนขึ้น ลูกโค-กระบือที่เกิดขึ้นใหม่
ซึ่งเป็นของธนาคารโค-กระบือ
ได้นำไปหมุนเวียนให้บริการแก่เกษตรกรรายอื่น ๆ ต่อไป การดำเนินงานในลักษณะนี้
ทำให้โครงการธนาคารโค-กระบือ
เกิดผลประโยชน์ต่อเนื่องไม่สิ้นสุด เกษตรกรได้รับบริการอย่างทั่วถึง
โดยที่รัฐไม่จำเป็นต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก
สรุป
ผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากธนาคารโค-กระบือ นั้น
ส่งผลโดยตรงกับตัวเกษตรกรที่ยากจน คือ ได้ช่วยเหลือให้เกษตรกรสามารถมีปัจจัยการผลิตเป็นของตนเอง
ไม่ต้องเสียค่าเช่าแรงงานโค-กระบือ ในอัตราสูง
เป็นหลักประกันอย่างหนึ่ง ซึ่งเอื้ออำนวยให้การผลิตเกิดผลอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย
ส่วนผลประโยชน์ทางอ้อมนั้น เกิดขึ้นจากการเลือกใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสมในการพัฒนา
เพราะแรงงานแบบดั้งเดิมนี้ เป็นสิ่งที่เหมาะสมกับระบบเกษตรกรรมเบบยังชีพ
ซึ่งเกษตรกรมีฐานะยากจน และมีพื้นที่ทำกินขนาดเล็ก แรงงานแบบดั้งเดิมนี้
ไม่ต้องการความรู้ทางเทคนิค วิชาการขั้นสูงใด ๆ ในการบำรุงรักษา การใช้แรงงาน โค-กระบือ ในการทำนา ปลูกข้าว เป็นลักษณะของการอยู่ร่วมกันและการพึ่งพากันตามธรรมชาติ
เกษตรกรสามารถเรียนรู้ได้เองจากการดำรงชีพ อีกทางหนี่ง
การใช้แรงงานสัตว์ก็เป็นการเลือกใช้พลังงานจากธรรมชาติแทนการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง
ซึ่งเป็นทรัพยากรที่นับวันจะเหลือน้อยลงไป และมีราคาสูงขึ้น
ดูจะเป็นประโยชน์หลายทาง ซึ่งสอดคล้องกันอย่างพอเหมาะยิ่ง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น